เนื่องด้วยบทความที่ได้เคยเขียนไว้ มีโอกาสได้เผยแพร่ลงนิตยสาร BrandAge Essential Super Series 4th 2009 : Super CSR เลยขอนำมาลงเพื่อถ่ายทอดบน Blog นี้ด้วยค่ะ ^_^
ขณะนี้คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายๆคน จะเห็นว่า มีหลายภาคองค์กรธุรกิจนิยมใช้คำว่า “Green” เป็นส่วนหนึ่งของสินค้าและบริการของตน ซึ่งองค์กรธุรกิจเหล่านี้ ต้องการสื่อสารให้ภายนอก หรือ กลุ่มลูกค้าของบริษัท ได้รับรู้และตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อม การปรับปรุง แก้ไข และลดปัญหาของสินค้าและบริการที่จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเป็นการแสดงออกในความรับผิดชอบต่อสังคมที่องค์กรธุรกิจนั้นมี และ Green Technology ก็เป็นแนวทางปฎิบัติแนวทางหนึ่ง ในการใช้เทคโนโลยีเพื่อจัดการการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด และส่งผลกระทบให้น้อยที่สุดต่อสิ่งแวดล้อมตลอดช่วงอายุการใช้งาน
ความเป็นมาและแรงผลักดัน
ประเด็นแรกที่เป็นแรงผลักดันทำให้คนเริ่มหันมาสนใจเรื่องดังกล่าว อันเป็นที่ทราบกันดี คือสภาวะโลกร้อนจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จนทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ทำให้ทั่วโลกตื่นตัวและรณรงค์ในด้านการพัฒนาเรื่อง Green Technology ขึ้นมา นอกจากนี้แล้วยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่สอดคล้องและสัมพันธ์กันในการช่วยกันผลักดันให้ตระหนักถึงความสำคัญในเทคโนโลยี อันประกอบด้วย
นวัตกรรมที่สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเชิงเทคนิคสูงขึ้น มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดีกว่าเดิม ในขณะเดียวกันต้องการใช้พลังงานลดน้อยลง
รวมทั้งสามารถยืดอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น มีผลทำให้ความต้องการพลังงานไฟฟ้าของสินค้าลดน้อยลงตามประสิทธิภาพใหม่ของสินค้าที่ดีขึ้น และปริมาณขยะสินค้าก็จะลดลงตาม ดังเห็นได้ชัดจากสินค้ายุคใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภท IT และ Electronic ทั้งหลาย
นอกจากนี้การพัฒนากระบวนการผลิตสินค้าที่ใช้วัตถุดิบได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการใช้วัตถุดิบใหม่จากธรรมชาติลดลง หรือวัตถุดิบที่นำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งล้วนมีผลทำให้ปริมาณความต้องการวัตถุดิบทั้งหลายลดน้อยลงมาก เป็นผลทำให้การทำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรตามธรรมชาติลดน้อยลงตามมา
สองประเด็นหลังนี้เป็นแรงจูงใจในเชิงธุรกิจที่ช่วยผลักดันให้ทั้งผู้ผลิตสินค้าและผู้ใช้สินค้าด้าน IT ตระหนักถึงความสำคัญด้าน Green Technology มากกว่าคำว่าสภาวะโลกร้อนเพียงอย่างเดียว ที่ยังอาจจะไม่เห็นชัดนักสำหรับผลกระทบเชิงธุรกิจ
ข้อมูลและสถิติเกี่ยวข้องกัน Green Technology ในประเทศต่าง ๆ
ก่อนที่จะไปวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของ Green Technology กับองค์กร ลองมาดูตัวอย่างสถิติและข้อมูลวิจัยในประเทศที่พัฒนาแล้วบ้างว่า เค้ามีความคิดเห็นกันอย่างไร และได้นำ Green Technology ไปใช้กันมากน้อยแค่ไหนแล้ว
ตัวอย่างแรก ขอกล่าวถึงประเทศอังกฤษ จากบทความของกลุ่มที่เรียกว่า Green Technology Initiative สำรวจในเดือนเมษายน/พฤษภาคม ปี 2007 พบว่า
ธุรกิจส่วนใหญ่ในอังกฤษเพียงแค่ตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีนี้เท่านั้น แต่ในแง่การปฎิบัติจริงเกือบ 70% ของผู้ตอบแบบสำรวจนี้ที่ เป็นผู้ใช้ระบบ IT ไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจนที่จะนำมาทำเป็นแผนปฏิบัติจริงใด ๆ แต่กลับเห็นว่าควรเป็นความรับผิดชอบของผู้ผลิตสินค้า IT และทางราชการมากกว่าพวกตน
มากกว่า 95% ไม่รู้เลยว่าสินค้าที่พวกเขากำลังใช้อยู่มีค่าวัดประสิทธิภาพอยู่ในระดับใด
ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 79% ไม่ได้พิจารณาถึงค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าในงบประมาณที่จะลงทุนในระบบ IT เลย ทั้ง ๆ ที่ ค่าไฟฟ้าที่ใช้ตลอดอายุการใช้งานของสินค้ามักสูงกว่าตัวสินค้าเอง โดยผู้สำรวจเชื่อว่าเนื่องมาจากการขาดแรงจูงใจ และ ความรู้ จึงทำให้ Green Technology ยังไม่ประสบความสำเร็จในประเทศอังกฤษนัก
รายงานการสำรวจอีกชิ้นจาก PricewaterhouseCoopers กล่าวว่า 60% ของผู้ตอบแบบสำรวจยืนยันว่าการประหยัดค่าพลังงานเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจลงทุนด้านสิ่งแวดล้อม
ในนี้มีถึง 29% เห็นว่าสำคัญมาก และอีก 32% เห็นว่าสำคัญ ในขณะเดียวกัน ผู้บริหาร 18% อ้างว่าองค์กรของพวกเขาตัดสินใจในการจัดซื้อสินค้าด้าน Green Technology นี้ พร้อมรายงานต่อว่าภายในสองปีข้างหน้าตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 48% ถึง 53% เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากับกฏเกณฑ์ใหม่ ๆ ของทางราชการและสังคม
จากการสำรวจนี้ 60% ของผู้ผลิตสินค้าได้มีการพัฒนาสินค้าในแนวทางของ Green Technology แล้ว แต่ส่วนผู้ใช้สินค้าและบริการที่ไม่ใช่ผู้ผลิตมีการนำมาใช้งานเพียงแค่ 33% เท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับรายงานฉบับแรกว่า 70% ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เพียงแค่ตระหนักถึงความสำคัญ แต่ยังไม่ได้นำมาปฏิบัติจริง
ส่วนอีกประเทศคือประเทศเยอรมันนีนั้นได้รับการจัดอันดับว่าเป็น Greenest IT ในทวีปยุโรป
30% ของผู้บริหารในเยอรมันนีเชื่อว่าองค์กรของพวกเขายังสามารถพัฒนาให้ดีกว่านี้
พวกเขาอ้างว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านแนวคิด Green Technology มาแล้วใน data center แต่ละแห่งทำให้ใช้พลังงานเพียง 1/3 ของระบบเดิมที่เคยใช้อยู่ และสามารถประหยัดเงินได้ถึงเลข 6 หลักในการลงทุนระยะ 3 ถึง 5 ปี ซึ่งเป็นแรงจูงใจด้านการเงินเป็นอย่างมาก
สุดท้ายมาดูในภาพรวมของแต่ละทวีป เป็นข้อมูลเสริมจากบทวิเคราะห์โดย Gartner, Inc. เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2007 พบว่าผู้ประกอบการในยุโรปส่วนใหญ่ยังข้องใจว่าจะสามารถประหยัดเงินเท่าไรและปัญหาสิ่งแวดล้อมจะลดลงจริงหรือไม่
ในสหรัฐฯ ประเด็นการลดต้นทุนนี้เป็นแรงจูงใจที่สำคัญที่สุดที่ได้ผลักดันองค์กรต่าง ๆ ให้ปฏิบัติกันและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ออกกฏระเบียบใหม่ ๆ หลังจากเห็นความผันแปรทางสภาพอากาศที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันตก
สำหรับภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคเองแล้ว มีพัฒนาการจากเดิมที่ไม่มีแนวโน้มในการปฏิบัติหรือริเริ่มวางแผนใด ๆ ก็เริ่มเกิดความตระหนักต่อเรื่องนี้มากขึ้น
ส่วนในออสเตรเลียจากสภาพของปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง รัฐได้ออกมากระตุ้นให้องค์กรทั้งหลายรีบหันมาสนใจและดำเนินการเพื่อลดปัญหาดังกล่าว ประกอบกับกลายเป็นสาระสำคัญที่ใช้ในการหาเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปอีกด้วย
ตัวอย่างบริษัทกับการนำ Green Technology มาใช้งาน
แม้ไม่มีหลักฐานอ้างอิงที่ชัดเจนว่ามีบริษัทใดบ้างที่ไม่ใช้เทคโนโลยีนี้แล้วพวกเขาได้ถดถอยลงทางด้านธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตามจะสามารถสังเกตเห็นจากสินค้าที่บริษัทเหล่านี้ผลิต และเคยครองตลาดได้หายสาบสูญไปจากท้องตลาดมากขึ้น
อาทิเช่น จอโทรทัศน์แบบเดิมที่ถูกแทนที่โดยจอ LCD หลอดแสงสว่างใช้ไส้ถูกแทนที่โดยหลอดตะเกียบ CFL เป็นต้น ซึ่งสินค้าเหล่านี้ล้วนประสบภาวะการทนแทนโดยผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานทั้งสิ้น ส่วนบริษัทที่ได้สนใจและนำ Green Technology มาปรับใช้จนสามารถประกาศให้สังคมรับรู้ว่าประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นด้านการเพิ่มยอดขายจากความเชื่อมั่นของผู้ใช้ หรือสามารถลดค่าใช้จ่ายอันเป็นปัจจัยหลักในการลดต้นทุนเพื่อให้ สินค้าและบริการของตนสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้พอจะเสนอได้พอสังเขปดังต่อไปนี้คือ
โรงงาน IL02 ของ Motorola ที่ Schaumburg, Illinois ได้เริ่มรณรงค์ให้ลดการปล่อยไอเสียในการผลิตสินค้าวิทยุ ตั้งแต่ปี 1997 แม้ไม่ได้ส่งเสริมให้เพิ่มยอดขายของสินค้าโดยตรงแต่สามารถลดการใช้พลังงาน 20% เพิ่มวัตถุดิบ Recycle/Reuse 15% ลดขยะของแข็ง 10% ลดขยะพิษ15% จนได้รับรางวัลมากมายจากทางการและอนุญาตให้ติดเครื่องหมายเกียรติคุณเหล่านี้บนสินค้าให้สังคมรับรู้ ย่อมเป็นการส่งเสริมการขายทางอ้อมที่เห็นผลอย่างชัดเจน
อีกหนึ่งตัวอย่างของบริษัทชื่อดังผู้นำแห่งนวัตกรรม Apple ผู้ผลิต iPhone, Macbook และ iPod สินค้ายอดนิยม ได้มีการตั้งข้อสังเกตจากกลุ่มต่างๆว่า มีการทำอะไรจริงจังกับเรื่องสิ่งแวดล้อมดังเช่นบริษัทอื่นๆหรือไม่ โดยเฉพาะ สินค้าของบริษัท Apple ที่อาจจะสร้างมลภาวะที่ร้ายแรงแก่ผู้ใช้เพราะมียอดขายเป็นจำนวนมาก
Apple รีบออกมาชี้แจงว่า ความจริงแล้ว Apple ได้สนใจเรื่องนี้มาเป็นเวลานานและได้ทำการค้นคว้า วิจัยและพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนือง เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ชิ้นส่วนของอุปกรณ์ที่เป็นสารพิษ เช่น สารตะกั่ว, สารปรอท และ PVC ในการผลิต โดยพยายามจะใช้ให้น้อยที่สุด หรือ ไม่ใช้เลย เพียงแต่ว่าไม่ได้ประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่ทราบแก่สังคม
ดังนั้นให้ผู้ใช้จึงมั่นใจได้ว่า สินค้าของ Apple ไม่มีส่วนผสมของสารพิษดังกล่าวเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน Apple ได้พยายามใช้วัตถุดิบ อาทิเช่น แก้วและอลูมิเนียมที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลใหม่ได้กับ ผลิตภัณฑ์ iPod Nano ซึ่งวัสดุเหล่านี้เป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมด้าน Recycle อีกทั้งได้พยายามพัฒนาอายุการใช้งานของสินค้าบางรายการให้ใช้งานได้นานขึ้นถึง 7 ปี ซึ่ง Apple อ้างว่ายาวนานกว่าคู่แข่งอย่าง HP และ Dell
ด้วยวิธีการดังกล่าวทำให้ปริมาณขยะของสินค้า Apple ลดน้อยลงถึง 7 เท่า โดยข้อมูลเหล่านี้ได้รับการเปิดเผยจาก Steve Jobs ซึ่งเป็น CEO ของบริษัทเอง
ยังมีตัวอย่างอีกมากมาย เช่น Verizon Communication, Intel Corporation., Advance Micro Devices หรือ AMD, Hewlett-Packard และ 3M เป็นต้น
บริษัทเหล่านี้ล้วนได้นำเอา Green Technology ไปใช้พัฒนาในระบบการผลิตของตน รวมถึงการฝึกอบรมพนักงานให้ตระหนักถึงความสำคัญด้านรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อประโยชน์ทางตรงของบริษัท และในทางอ้อมเพื่อความนิยมชมชอบของสังคมโลกและประชาคมที่อยู่ใกล้เคียงอีกด้วย
ในแง่ผู้ผลิต บริษัท General Electric (GE) ได้ตั้งโครงการชื่อ Ecomagination ขึ้นมา เนื่องจากการประสบปัญหาราคาพลังงานที่โดดสูงขึ้นมากมายจนน่ากังวลทำให้ GE เห็นช่องทางด้านการพัฒนาระบบแสงสว่างรุ่น T5 และ T8 เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไปแบบเป็นชุด Electronic 6 หลอดเพื่อใช้ในโรงงานของตนเองให้ลูกค้าเห็นก่อน ซึ่งช่วยให้ GE สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ถึงปีละสองล้านเหรียญสหรัฐในปี 2006 และกำลังพัฒนาให้ถึงเป้าหมายสี่ล้านเหรียญในเร็ว ๆ นี้ ถือได้ว่าเป็นการสั่นสะเทือนวงการหลอดไฟ Electronic ทั่วโลกซึ่งเคยถูกครอบครองโดยผู้ผลิตในยุโรปและญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่
ยังมีผู้ประกอบการอีกมากมายที่ไม่ยอมรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเพื่อให้เข้ากับ Green Technology แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลประการใดก็ตามในอนาคตมีความเป็นไปได้สูงที่จะประสบปัญหาทางตรงหรือไม่ก็ทางอ้อมไม่ช้าก็เร็วจากตัวผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่กินไฟมาก อายุการใช้งานสั้น แผ่ความร้อนสูง และสำคัญที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพใช้งานต่ำกว่าคู่แข่ง
ทำไมองค์กรหรือบริษัทต้องให้ความสำคัญ ? แล้วจะได้ประโยชน์อะไร?
กลุ่มของบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับ Green Technology สามารถจำแนกออกมาได้เป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือกลุ่มของเจ้าของเทคโนโลยีผู้ผลิตสินค้า กับกลุ่มของบริษัทผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ทางด้าน Green Technology ซึ่งมีปัจจัยที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้
ในส่วนของเจ้าของเทคโนโลยีผู้ผลิตสินค้าด้าน Hardware จะอิงประสิทธิภาพ 4 ประการซึ่งสำคัญต่อผลประโยชน์ด้านการตลาดเหนือคู่แข่งดังนี้
1) ความสามารถในการผลิตผลิตภัณฑ์ตามแนวคิดของ Green Technology ประโยชน์ที่ได้รับคือสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าขณะใช้งานผลิตภัณฑ์ได้ อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์มีความสามารถหยุดพักใช้งานได้ชั่วคราวโดยอัตโนมัติในช่วงพักกลางวัน อาทิเช่น PCs, Printers และ Monitors เป็นต้น เพราะผู้ใช้ตระหนักถึงความสำคัญของค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป และพยายามเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อว่าประหยัดพลังงานเท่านั้น
2) สามารถลดความร้อนจากการใช้งานประโยชน์คือเพื่อลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตาม อาทิเช่น การเปิดเครื่องปรับอากาศน้อยลง
3) สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้เปรียบเหนือคู่แข่ง คือ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นในหลายรายการที่ขาย ทั้งอุปกรณ์ IT และ อุปกรณ์ Electronics
4) กระบวนการผลิตต้องสามารถนำวัตถุดิบจากการ Reuse หรือ Recycle มาใช้ให้ได้มากที่สุดเพื่อลดต้นทุนในการผลิตของตนอันเป็นปัจจัยหลักของต้นทุนในสินค้าเพื่อที่จะสามารถแข่งขันกันได้ในอุตสาหกรรมนี้
ในส่วนของผู้ใช้ระบบหรือผลิต Software and Contents ในอุตสาหกรรม Green Technology จะเจาะจงลงไปในด้านค่าใช้จ่ายทั่วไปขณะใช้งานเพื่อลดต้นทุนของตนให้ได้มากที่สุด เพื่อทำให้สามารถสร้างบริการที่แข่งขันกับคู่แข่งได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ดังต่อไปนี้
1) การสรรหาจัดซื้อระบบสินค้าประเภท Hardware ทั้งหลาย ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุดเพื่อให้ได้มาซึ่งประสิทธิภาพในการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของตน ที่จะสามารถทำให้ต้นทุนผันแปรทั้งหลายให้ถูกลงตาม
2) ค่าใช้จ่ายด้านการผลิต อันประกอบด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากขบวนการผลิต การใช้เครื่องปรับอากาศบริเวณที่เกิดความร้อน เป็นต้น
3) ค่าใช้จ่ายด้านการบริหารงาน อันประกอบด้วยการใช้พลังงานจากอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหลายในสำนักงาน แม้กระทั่งการใช้อุปกรณ์ IT ยุคใหม่เช่น Phone, Fax, Videoconference ที่อำนวยความสะดวกและลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของพนักงาน
สุดท้ายแล้วปัจจัยหลักที่จะทำให้ Green Technology ประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องอาศัยความร่วมมือกัน ระหว่างภาครัฐ และบริษัทต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเท่านั้น
ในส่วนของภาครัฐเมื่อมีการออกกฎระเบียบใดๆแก่บริษัทอันเกี่ยวเนื่องกับการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสังคม ทางภาครัฐควรทำการศึกษาอย่างถ่องแท้ก่อนว่า ประเด็นหลักของปัญหาที่สมควรได้รับการแก้ไขนั้นคืออะไร ก่อนที่จะมีการกำหนดเป็นแนวทางเพื่อใช้กับองค์กรต่างๆ โดยควรมีการเรียงลำดับความสำคัญ ว่าเรื่องใดเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องออกกฎระเบียบ, ข้อบังคับ หรือ บทลงโทษ ควบคู่ไปกับการออกมารณรงค์เพื่อเป็นแรงผลักดันให้มีการจัดการในองค์กรด้วยแนวความคิดของ Green Technology
ซึ่งแนวทางดังกล่าวข้างต้น เป็นเพียงแค่ตัวอย่างและแนวทางที่ควรนำมาวิเคราะห์อย่างละเอียดก่อนที่ภาครัฐจะทำการออกกฎระเบียบใดๆ
ในขณะเดียวกันหน้าที่ของภาคอุตสาหกรรมเจ้าของเทคโนโลยีผู้ผลิตสินค้า ก็ต้องให้ความรู้ความเข้าใจเพื่อให้บริษัทผู้ซื้อสินค้าตระหนักถึงประโยชน์และความสำคัญของผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิดของ Green Technology
ในที่สุดเมื่อทุกๆฝ่าย ได้เล็งเห็นประโยชน์อันเกิดจากแนวคิดของGreen Technology ไปในทิศทางเดียวกันแล้ว และได้นำมาปฎิบัติจริง ประโยชน์และความสำเร็จทั้งหมดก็จะตกอยู่กับองค์กรที่นำ Green Technology มาใช้นั่นเอง
//
เขียนได้ดีครับ เพลงก็เพราะดี
เยี่ยมครับ เขียนแบบขั้นเซียนเลยครับ